วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558


Learning Log  ในชั้นเรียน

 

ภาษาอังกฤษได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเรา และคนทั่วโลก ทุกวันนี้เราสื่อสารกันด้วยภาษาอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อสื่อสารกันโดยตรง การใช้อินเตอร์เน็ต หรือในการเรียนภาษาอังกฤษในห้องเรียน คนจะเรียนรู้ภาษาให้ซาบซึ้ง สามารถใช้ภาษาเข้าสู่สังคมและวัฒนธรรม สามารถใช้ภาษาได้อย่างถูกต้อง เหมาะสมกับสังคมวัฒนธรรม ตามสภาพการณ์ได้ในทุกทักษะของภาษา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่สามารถใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารการเรียนการสอน ไวยากรณ์ก็เป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับภาษาอังกฤษ ไวยากรณ์เป็นรากฐานให้คนเข้าใจสื่อสารได้รู้เรื่องตรงกัน ถ้าเรารู้ศัพท์หมด ถ้าวางรากฐานผิดก็สื่อสารไม่รู้เรื่อง

การเรียนรู้เรื่องไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ในการสื่อสารและการเรียนรู้

It clauses หรือ conditional sentences คือ ประโยคที่มีข้อความแสดงเงื่อนไข (conditions) หรือการสมมุติ ซึ่งประกอบด้วย ประโยคเล็ก 2 ประโยครวมกัน และเชื่อมด้วย conjunction “if” ประโยคที่นำหน้าด้วย if แสดงเงื่อนไข เราเรียกว่า if-clause และ ประโยคที่แสดงผลเงื่อนไขนั้น เราเรียกว่า main clause แบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ

If it rains,  I shall stay at home

(if-clause)  (main clause)

 

  1. Type one เป็นการสมมติถึงเหตุการณ์ในปัจจุบันหรืออนาคต แสดงเงื่อนไขที่นำจะเป็นไปได้ (possible condition)
    If + present simple, will + v1
    วิธีใช้  ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน ตัวอย่างเช่น

  • If I have enough money, I will go to Japan (ถ้าฉันมีเงินฉันจะไปญี่ปุ่น)
  • If he is late, we will have to the meeting without him (ถ้าเขามาสาย เราจะต้องเริ่มประชุมโดยไม่มีเขา)
  • I won’t go outside if the weather is cold (ฉันจะไม่ออกไปข้างนอก ถ้าอากาศมันเย็น)

 

  1. Type two เป็นการสมมติในปัจจุบันที่บอกความสงสัย (doubt) (แสดงเงื่อนไขที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ (impossible condition)
    If + past simple, would + v1
    วิธีใช้  ใช้กับเหตุการณ์ที่ตรงข้ามความจริงในปัจจุบัน หรืออนาคต เช่น

  • If I knew her name, I would tell you (ถ้าฉันรู้ชื่อเธอ ฉันก็น่าจะบอกคุณ) (จริงๆ แล้วไม่รู้จักชื่อเธอ)
  • She would be safer if she had a car (เธอน่าจะปลอดภัยกว่านี้ ถ้าเธอมีรถ) (จริงๆ แล้วเธอไม่มีรถ)
  • It would be nice if you helped me do the house  work (มันน่าจะดีถ้าคุณได้ช่วยฉันทำงานบ้านบ้าง) (จริงๆ แล้วเธอไม่ช่วยเลย)
  • If I were you, I would call call her (ถ้าฉันเป็นคุณ ฉันน่าจะโทรหาเธอ) (จริงๆ แล้วฉันไม่ได้เป็นคุณ)
  • If I were you, I would not say that (ถ้าฉันเป็นคุณ ฉันก็ไม่น่าจะพูดเช่นนั้น) (จริงๆ แล้วฉันไม่ได้เป็นคุณ)
     

  1. Type three เป็นการสมมติในอดีตแสดงเงื่อนไขที่ไม่อาจเป็นไปได้เลย และตรงกัน่ข้ามกับความเป็นจริงในอดีต
    if + past perfect, would have + v3
    วิธีใช้  ใช้กับเหตุการณ์ที่ตรงข้ามกับความจริงในอดีต เช่น

  • If you had worked harder, you would have passed your exam ถ้าคุณขยันให้มากกว่านี้ คุณก็น่าจะสอบผ่าน  (จริงๆ แล้วสอบตกไปแล้ว)
  • If you had asked me, I would have told you  ถ้าคุณถามฉัน ฉันก็น่าจะบอกคุณไปแล้ว  (จริงๆ แล้วคุณไม่ได้ถาม)
  • If would have been in big trouble if you had not helped me  ฉันน่าจะมีปัญหาไปแล้ว  ถ้าคุณไม่ได้ช่วยฉันไว้ (จริงๆ แล้วคุณช่วยฉันไว้)

 

การเรียนภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะเรื่องของไวยากรณ์ มันคือเรื่องของการฝึก ยิ่งฝึกมาก ใช้บ่อย ความชำนาญก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นหากอยากจะเก่งก็ต้องอ่านบ่อยๆ เขียนบ่อยๆ ฟังบ่อยๆ และรู้จักขวนขวายหาความรู้เพิ่มเติม เพราะความรู้ไม่มีวันหยุด ยิ่งรู้มากก็ยิ่งได้เปรียบ ดังนั้นต้องมีโครงสร้างแกรมมา ที่แข็งแรงก่อน

 

 

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น