วันจันทร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2557

ความแตกต่างทางโครงสร้างของภาษาไทยกับภาษาอังกฤษที่มีผลต่อการแปล



 
ความแตกต่างทางโครงสร้างของภาษาไทยกับภาษาอังกฤษที่มีผลต่อการแปล

โครงสร้างเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการเรียนรู้ภาษาหรือการใช้ภาษา เราพูดเป็นประโยคที่มีใจความสมบูรณ์และสื่อสารกันรู้เรื่องเพราะเรารู้หรือเข้าใจโครงสร้างของภาษา โครงสร้างเป็นสิ่งที่บอกเราว่าเราจะนำคำศัพท์ที่เรารู้มาประกอบกันหรือเรียงกันอย่างไรจึงจะเป็นที่เข้าใจของผู้ที่เราสื่อสารด้วย  ในการใช้ภาษาใดก็ตามถ้าเราไม่รู้หรือเข้าใจโครงสร้างของภาษานั้น เราจะล้มเหลวในการสื่อสาร คือฟังหรืออ่านไม่เข้าใจและพูดหรือเขียนให้คนอื่นเข้าใจไม่ได้
           ในการแปลผู้แปลมักนึกถึงศัพท์ เช่นเมื่อแปลไทยเป็นอังกฤษก็พยายามค้นหาคำศัพท์ในภาษาอังกฤษที่เทียบเท่าภาษาไทย ถ้าหาได้ก็คิดว่าไม่มีปัญหา ถ้าหาไม่ได้ก็คิดว่ามีปัญหา อันที่จริงนั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของปัญหาในการแปล ปัญหาที่สำคัญและลึกซึ้งกว่านั้นคือ ปัญหาทางโครงสร้าง นักแปลผู้ใดก็ตามที่ถึงแม้จะรู้ศัพท์แต่ละคำในประโยคแต่หากไม่เข้าใจความสัมพันธ์ของศัพท์เหล่านั้นก็มีโอกาสล้มเหลวได้ เพราะอาจตีความผิดหรือถ่ายทอดเป็นภาษาเป้าหมายที่ผิดได้

1. ชนิดของคำและประเภททางไวยากรณ์ที่สำคัญ

ชนิดของคำ (parts of speech) เป็นสิ่งสำคัญในโครงสร้าง เพราะเมื่อเราสร้างประโยคเราต้องนำคำมาเรียงร้อยกันให้เกิดความหมายที่ต้องการสื่อสาร ประโยคจะถูกไวยากรณ์เมื่อเราใช้ชนิดของคำตรงกับหน้าที่ทางไวยากรณ์ เช่นถ้าต้องการใช้คำที่ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค เราต้องใช้คำนาม แต่ถ้าเราใช้คำอื่นประโยคจะผิดไวยากรณ์
                ประเภททางไวยากรณ์ (grammatical category) หมายถึง ลักษณะสำคัญในไวยากรณ์ของภาษาใดภาษาหนึ่ง  ซึ่งมักสัมพันธ์กับชนิดของคำ เช่น บุรุษ(person) พจน์(number) ลิงค์(gender) การก (case) กาล(tense) มาลา (mood) วาจก(voice) ประเภททางไวยากรณ์บางประเภทเป็นสิ่งสำคัญในภาษาหนึ่ง  แต่อาจไม่สำคัญเลยในอีกภาษาหนึ่งก็ได้
1.1.    คำนาม เมื่อเปรียบเทียบคำนามในภาษาไทยกับภาษาอังกฤษ พบว่าประเภททางไวยากรณ์ที่เป็นลักษณะสำคัญหรือลักษณะที่มีตัวบ่งชี้(marker) ในภาษาอังกฤษแต่เป็นลักษณะที่ไม่สำคัญหรือไม่มีตัวบ่งชี้ในภาษาไทย ได้แก่
1.1.1 บุรุษ (person) เป็นประเภททางไวยากรณ์ที่บ่งบอกว่าคำนามหรือสรรพนามที่นำมาใช้ในประโยค หมายถึง ผู้พูด (บุรุษที่ 1) ผู้ที่ถูกพูดด้วย (บุรุษที่ 2) หรือผู้ที่ถูกพูดถึง (บุรุษที่ 3)

1.1.2 พจน์(number) เป็นประเภททางไวยากรณ์ที่บ่งบอกจำนวน ว่าเป็นจำนวนเพียงหนึ่ง หรือจำนวนมากกว่าหนึ่ง ภาษาอังกฤษมีการบ่งชี้พจน์โดยใช้ ตัวกำหนด (determiner) ที่ต่างกัน เช่นใช้ a/an นำหน้าคำนามเอกพจน์เท่านั้น และแสดงพหูพจน์โดยการเติมหน่วยท้ายศัพท์  แต่ในภาษาไทยไม่มีการบ่งชี้นั้น เพราะภาษาไทยไม่มีการแยกสรรพสิ่งตามจำนวน
1.1.3 การก (case) คือประเภททางไวยากรณ์ของคำนามเพื่อบ่งชี้ว่าคำนามนั้นเล่นบทบาทอะไร คือสัมพันธ์กับคำอื่นในประโยคอย่างไร ภาษาต่างกันมีการแสดงการกด้วยวิธีต่างกัน ในภาษาอังกฤษการกของคำนามมักแสดงโดยการเรียงคำ แต่ในภาษาไทยไม่มีการเติมหน่วยท้ายคำเพื่อแสดงการก แต่ใช้การเรียงคำเหมือนกับการกประธานและการกกรรมในภาษาอังกฤษ
1.1.4 นามนับได้ กับนามนับไม่ได้ (countable and uncountable nouns) คือ คำนามในภาษาอังกฤษต่างจากภาษาไทยในเรื่องการแบ่งเป็นนามนับได้และนามนับไม่ได้  ผู้พูดภาษาอังกฤษทุกคนแยกความแตกต่างระหว่างคำนาม  ในภาษาไทย คำนามทุกคำนับได้ เพราะเรามีลักษณนามบอกจำนวนของทุกสิ่งได้ แล้วเราสามารถเลือกใช้ให้เหมาะสมกับคำนามต่างๆ ในภาษาอังกฤษมีการใช้หน่วยบอกปริมาณหรือปริมาตรกับคำนามที่นับไม่ได้ทำให้เป็นหน่วยเหมือนนับได้ แต่ก็ไม่เป็นระบบทั่วไปเหมือนภาษาไทย
1.1.5 ความชี้เฉพาะ (definiteness) ประเภททางไวยากรณ์อีกประเภทหนึ่งที่มีความสำคัญในภาษาอังกฤษ แต่ไม่สำคัญในภาษาไทย ได้เเก่การแยกความแตกต่างระหว่างนามชี้เฉพาะกับนามไม่ชี้เฉพาะ การแยกความแตกต่างระหว่างชี้เฉพาะกับไม่ชี้เฉพาะนี้ไม่มีในภาษาไทย จึงอาจเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจสำหรับคนไทย ดังนั้นเวลาคนไทยแปลไทยเป็นอังกฤษจึงต้องระวังเรื่องนี้เป็นพิเศษ ตรงกันข้าม เมื่อแปลอังกฤษเป็นไทยลักษณะความแตกต่างดังกล่าวก็ไม่จำเป็นต้องแสดงในภาษาไทยเพราะถ้าแสดงจะทำให้ฟังดูรกรุงรังไม่เป็นธรรมชาติ

2. คำกริยา

คำกริยานับได้ว่าเป็นหัวใจของประโยค การใช้กริยาซับซ้อนกว่าคำนาม เพราะมีประเภททางไวยากรณ์ต่างๆเข้ามาเกี่ยวข้องหลายประเภท ได้แก่
1.2.1 กาล (tense) คำกริยาในภาษาอังกฤษต้องแสดงกาลเสมอว่าเป็นอดีต หรือไม่ใช่อดีต ผู้พูดภาษาอังกฤษไม่สามารถใช้คำกริยาโดยปราศจากการบ่งชี้กาล เพราะโลกทัศน์ของพวกเขาแยกความแตกต่างระหว่างเหตุการณ์ในอดีตกับไม่ใช่อดีต  ในภาษาไทยไม่ถือว่ากาลเป็นเรื่องสำคัญ เมื่อแปลงภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษคนไทยจึงต้องระวังเรื่องกาลเป็นพิเศษ

1.2.2 การณ์ลักษณะ(aspect) หมายถึง ลักษณะของการกระทำหรือเหตุการณ์ ในภาษาอังกฤษการณ์ลักษณะที่สำคัญ ได้แก่ การณ์ลักษณะต่อเนื่องหรือการณ์ลักษณะดำเนินอยู่ และการณ์ลักษณะเสร็จสิ้น การณ์ลักษณะเหล่านี้เป็นลักษณะที่คนไทยเข้าใจได้ง่ายเพราะภาษาไทยมีการณ์ลักษณะทำนองนี้เหมือนกัน ในภาษาไทย เหตุการณ์ที่ต่อเนื่องหรือกำลังดำเนินอยู่แสดงด้วยคำว่า กำลัง หรือ อยู่ หรือใช้ทั้งคู่ เช่น ตอนนี้เรากำลังรับประทานอาหารอยู่

                โดยเหตุที่ภาษาไทยกับภาษาอังกฤษแตกต่างกันอย่างเด่นชัดในแง่ที่ภาษาอังกฤษถือว่าเรื่องเวลาของเหตุการณ์เป็นสิ่งสำคัญมาก ทุกประโยคที่พูดหรือเขียนจะต้องตัดสินหรือแสดงให้ชัดว่าเกิดเหตุในอดีต หรือปัจจุบัน หรืออนาคต และเหตุการณ์ใดเกิดก่อน หรือเกิดหลัง แต่ภาษาไทยถือว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นเมื่อใดไม่เป็นสิ่งสำคัญ ผู้อ่านสามารถตีความได้เองจากบริบท แม้นว่าจะไม่ตีความก็ไม่เป็นไร เพราะผู้พูดไม่เน้นเรื่องเวลาของเหตุการณ์ หรืออีกนัยหนึ่ง ในภาษาไทย การกล่าวหรือเล่าเรื่องใดก็ตาม เวลาเป็นเรื่องลอยตัว ไม่ต้องระบุให้ชัดแจ้ง

1.2.3 มาลา (mood) เป็นประเภททางไวยากรณ์ที่ใช้กับคำกริยา มีหน้าที่แสดงว่าผู้พูดมีทัศนคติต่อเหตุการณ์หรือเรื่องที่พูดอย่างไร ในภาษาไทยไม่มีการแสดงมาลา เช่น ประโยคสมมติ ประโยคคาดคะเน หรือประโยคเปรียบเทียบบางสิ่งว่าเสมือนอีกสิ่ง มาลาในภาษาอังกฤษแสดงโดยการเปลี่ยนรูปคำกริยา หรืออาจแสดงโดยคำช่วยกริยาที่เรียกว่า modal auxiliaries ในภาษาไทย มาลาแสดงโดยกริยาช่วยหรือวิเศษณ์เท่านั้น คำที่แสดงมาลาในภาษาไทย เช่น อาจ น่าจะ ดูเหมือน บางที เป็นต้น

1.2.4 วาจก (voice) เป็นประเภททางไวยากรณ์ที่บ่งชี้ความสัมพันธ์ระหว่างประธานกับการกระทำที่แสดงโดยคำกริยา ว่าประธานเป็นผู้กระทำ(กรรตุวาจก) หรือประธานเป็นผู้ถูกกระทำ(กรรมวาจก) ในภาษาอังกฤษประโยคส่วนใหญ่จะมีกริยาเป็นกรรตุวาจก แต่ในบางกรณี กริยาจำเป็นต้องอยู่ในรูปกรรมวาจก เพราะผู้พูดอาจไม่ต้องการระบุผู้กระทำ แต่ต้องการเน้นผู้ถูกกระทำแทน ในภาษาไทยคำกริยาไม่มีการเปลี่ยนรูปในตัวของมันเองเพื่อแสดงกรรตุวาจกหรือกรรมวาจก

1.2.5 กริยาแท้กับกริยาไม่แท้ (finite vs. non-finite)  คำกริยาในภาษาอังกฤษต่างจากภาษาไทยมากในเรื่องการแยกกริยาแท้ออกจากกริยาไม่แท้ กล่าวคือในหนึ่งประโยคเดี่ยวจะมีกริยาแท้ได้เพียงตัวเดียวเท่านั้น ส่วนกริยาอื่นๆในประโยคต้องแสดงรูปให้เห็นชัดว่าไม่ใช่กริยาแท้ ในตัวอย่าง ในภาษาไทย ไม่มีความแตกต่างระหว่างกริยาแท้กับกริยาไม่แท้ กล่าวคือกริยาทุกตัวในประโยคไม่มีการแสดงรูปที่ต่างกัน หรือเครื่องหมายที่เราจะระบุได้ทันทีว่าตัวไหนเป็นกริยาแท้หรือไม่แท้

3. ชนิดของคำประเภทอื่น
                ชนิดของคำประเภทอื่นนอกจากคำนามกับกิริยามีความซับซ้อนน้อยกว่านามและกริยา และไม่ก่อให้เกิดปัญหาในการแปลมากเท่ากับนามกับกริยา อย่างไรก็ตาม คำที่เป็นปัญหาในตัวศัพท์เอง ได้แก่ คำบุพบท (preposition) ซึ่งผู้แปลต้องหมั่นสังเกตบุพบทที่ใช้ต่างกันในสองภาษา คำ  adjective ในภาษาอังกฤษก็อาจเป็นปัญหาสำหรับคนไทยเพราะต้องใช้ verb to be เมื่อทำหน้าที่เป็นภาคแสดงของประโยค ในภาษาไทยไม่มีโครงสร้างแบบนี้เพราะใช้กริยาทั้งหมด นอกจากนั้น adjective ที่เรียงกันหลายคำเพื่อขยายคำนามที่เป็นคำหลัก

ที่กล่าวมาเป็นการแสดงให้เห็นว่าภาษาอังกฤษและภาษาไทยมีความแตกต่างกันเรื่องชนิดของคำและประเภททางไวยากรณ์ที่สำคัญหลายประการ ซึ่งถ้าผู้แปลมีความเข้าใจจะช่วยให้การแปลทำได้ง่ายขึ้น

2. หน่วยสร้างที่ต่างกันในภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
หน่วยสร้าง (construction) หมายถึง หน่วยทางภาษาที่มีโครงสร้าง เช่น หน่วยสร้างนามวลี หน่วยสร้างกรรมวาจก หน่วยสร้างคุณานุประโยค เป็นต้น เมื่อเปรียบเทียบหน่วยสร้างในภาษาไทยและภาษาอังกฤษพบว่ามีหน่วยสร้างที่แตกต่างกัน ซึ่งผู้แปลควรให้ความเอาใจใส่เป็นพิเศษดังนี้

2.1 หน่วยสร้างนามวลี : ตัวกำหนด(determiner) +นาม (อังกฤษ) vs. นาม (ไทย)

                นามวลีในภาษาอังกฤษต้องมีตัวกำหนดอยู่หน้านามเสมอ ถ้าคำนามนั้นเป็นนามนับได้และเป็นเอกพจน์(ยกเว้นนามที่เป็นชื่อเฉพาะและสรรพนาม) ในภาษาไทยไม่มีตัวกำหนดแบบ a,b,c ในภาษาอังกฤษ มีแต่คำบ่งชี้ เช่น นี้ นั้น โน้น นู้น ซึ่งบ่งบอกความหมายใกล้ไกล และเฉพาะเจาะจง และเราอาจเรียกคำเหล่านี้ว่า ตัวกำหนด (determiner) ก็ได้แต่ไม่เป็นส่วนที่บังคับในโครงสร้างเหมือนในภาษาอังกฤษ ดังนั้นเรามักพบเสมอว่าในขณะที่นามวลีในภาษาอังกฤษมีตัวกำหนดปรากฏแต่ในภาษาไทยไม่มี

2.2 หน่วยสร้างนามวลี : ส่วนขยาย + ส่วนหลัก(อังกฤษ) vs.ส่วนหลัก+ส่วนขยาย (ไทย)
ในหน่วยสร้างนามวลี ภาษาอังกฤษวางส่วนขยายไว้ข้างหน้าส่วนหลัก ส่วนภาษาไทยตรงกันข้าม เวลาแปลจากอังกฤษเป็นไทย ถ้าส่วนขยายไม่ยาวเราเพียงแต่ย้ายที่ส่วนขยายจากหน้าไปหลังก็ใช้ได้ แต่หากส่วนขยายยาว หรือซับซ้อน ผู้แปลอาจแปลเป็น relative clause หรือขึ้นประโยคใหม่โดยเก็บใจความ

2.3 หน่วยสร้างกรรมวาจก (passive constructions)
ดังที่ได้แสดงให้เห็นความแตกต่างเรื่องวาจก(voice)ในภาษาไทยกับภาษาอังกฤษแล้ว ในภาษาอังกฤษหน่วยสร้างกรรมวาจกมีรูปแบบเด่นชัด และมีแบบเดียว แต่ในภาษาไทยหน่วยสร้างกรรมวาจกมีหลายรูปแบบ เป็นที่น่าสังเกตว่ากริยาเกี่ยวกับอารมณ์ ความรู้สึก จะมีรูปตรงกันข้ามในภาษาไทยและอังกฤษ กล่าวคือในภาษาไทยมักเป็นกรรตุวาจก ส่วนในภาษาอังกฤษเป็นกรรมวาจก

2.4 หน่วยสร้างประโยคเน้น subject(อังกฤษ) กับประโยคเน้น topic(ไทย)
                ภาษาไทยได้ชื่อว่าเป็นภาษาเน้น topic (topic-oriented language) ตรงข้ามกับภาษาอังกฤษซึ่งเป็นภาษาเน้น subject (subject-oriented language)

2.5 หน่วยสร้างกริยาเรียงในภาษาไทย (serial verb construction)

หน่วยสร้างในภาษาไทยที่ไม่มีในภาษาอังกฤษและมักเป็นปัญหาในการแปล ได้แก่ หน่วยสร้างกริยาเรียง ซึ่งเป็นโครงสร้างที่ประกอบด้วยกริยาตั้งแต่สองคำขึ้นไปเรียงต่อกันโดยไม่มีอะไรคั่นกลางยกเว้นกรรมของกริยาที่มาข้างหน้า

วันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2557



แนะนำตัว เจ้าของบล็อค


ชื่อ  นางสาวจารุวรรณ  บุญเอียด
ชื่อเล่น   เมย์ 
กำลังศึกษาอยู่  คณะครุศาสตร์ หลักสูตรภาษาอังกฤษ ปี1
                มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช
รหัส    5681114022
เกิดวันที่   22 มี.ค 2537 
ติดต่อ   Facebook : Momay Jaruwan




                                                                 แนะนำตัวนิดหน่อย